วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ความผูกพันของชาวตุรกี (เติร์ก) กับศาสนาอิสลาม

บทความ - อัจฉริยภาพของเหล่าสุลต่อนแห่งมหาอาณาจักรอุษมานียะฮ


มุฮำมัด ญะมีล บัยฮัมฺ กล่าวไว้ในหนังสือ “อาหรับและชาวเติร์ก” ว่า : ชาวเติร์กได้มุ่งหน้าสู่ศาสนาของมุฮำมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เป็นหมู่คณะพวกเขาได้แปรเปลี่ยนจากศัตรูตัวฉกาจของอิสลามสู่การเป็นผู้ พิทักษ์อิสลามที่มีความยึดมั่นต่ออิสลามอย่างแรงกล้า และส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ยืนยันถึงบุคลิกภาพแห่งอิสลามของมหาอาณาจักรอุษมานี ยะฮฺก็คือ ชาวเติร์กเรียกขานทหารชาวตุรกีว่า เมฮฺเมตฺซีก (Mahmatcik) หมายถึง “ทหารแห่งมุฮำมัด” บรรดาคำประกาศของราชสำนักและกฎหมายต่าง ๆ ที่ออกจากราชสำนักอุษมานียะฮฺ จะประกาศในนามของ “เดาลัต อัลอะลียะฮฺ อัลมุฮำมะดียะฮฺ” เสมอ

อะฮฺมัด ร่อฟีก นักประวัติศาสตร์ชาวตุรกี กล่าวไว้ในหนังสือสารานุกรมของเขาที่ชื่อ “อัตตารีค อัลอุมูมีย์ อัลกะบีร” ว่า : “อุ ษมาน อิบนุ อุรตุฆฺรุ้ล มีความเคร่งครัดต่อศาสนาเป็นอันมาก เขาเชื่อว่าการเผยแผ่ศาสนาอิสลามและทำให้อิสลามแพร่ไปทั่วทุกดินแดนคือ ภารกิจอันศักดิ์สิทธิสำหรับเขา”

ดอฮฺสัน (Dohsson) นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า : “ไม่ ว่าในยามสงบ หรือในเรื่องการสงคราม และไม่ว่าการตรากฎหมายในด้านการเมืองการปกครองหรือระบบการทหาร และไม่ว่าจะเป็นการสำเร็จโทษด้วยการประหารทั้งจากเสนาบดีหรือแม่ทัพใหญ่ ฝ่ายมุขมนตรีและเหล่าเสนาบดีมักจะหันไปพึ่งมุฟตีย์เพื่อขอคำปรึกษาในเรื่อง นั้น ๆ และบ่อยครั้งที่มีการหารือกับมุฟตีย์ในปัญหาต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอแก่มุฟตีย์นั่นเป็นเพราะว่าการอ้างสิทธิอันชอบธรรมในการ ปกครองเพียงอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ แต่ถือกันว่าเป็นภารกิจจำเป็นที่จะต้องย้อนกลับไปยังบรรดาผู้นำทางศาสนาใน การพิจารณาปัญหาต่าง ๆ ของอาณาจักรเสมอ”

เฮอเบิร์ต อาร์เมอซ์ จิปฺปอนซ์ นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษได้ยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เอาไว้ในหนังสือ ของเขาที่ชื่อ : การสถาปนาจักรวรรดิออตโตมาน” ซึ่งเขาเขียนขึ้น ในปีคศ.1794 และตีพิมพ์ในปีคศ.1916 ว่า : “การกำเนิดขึ้นของอาณาจักรออตโตมาน (อุษมานียะฮฺ) เป็นไปด้วยแรงขับแห่งทิฐิทางศาสนาซึ่งพวกเติร์ก (ตุรกี) เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องนั้น”

มุฮำมัด ญะมีล บัยฮัม กล่าวไว้ในหนังสือ “อาหรับและชาวเติร์ก” ว่า : “ความเคร่งครัดที่มีต่อศาสนาอิสลามของชาวอุษมานีย์ตุรกี เป็นสิ่งที่มีความเข้มข้นจริงจังและเด็ดเดี่ยว โดยที่มุฟตีย์ของศาสนาอิสลามในรัชสมัยของสุลต่อนส่าลีม ข่านที่ 3 ได้มีคำฟัตวา (คำวินิจฉัยทางศาสนา) ถอดสุลต่อนออกจากพระราชอำนาจ ในปีฮ.ศ.1229/คศ.1807 ด้วยเหตุที่พระองค์นำเอาระเบียบแบบแผนของพวกฝรั่งตะวันตกที่ขัดต่อหลักคำสอน ของศาสนาอิสลามเข้ามาบังคับใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินและการถอดสุลต่อนส่า ลีม ข่านที่ 3 ออกจากพระราชอำนาจก็เป็นไปอย่างสมบูรณ์ตามคำชี้ขาดของฟัตวานั้น”

และท่าทีของสุลต่อนมุร๊อด ข่านพระราชโอรสของสุลต่อนอูรุคฺ ข่านที่มีต่อเซาว์ญี่ย์ โอรสของพระองค์ ถือเป็นจุดสุดยอดแห่งความสัจจริงในความเคร่งครัดของชาวอุษมานีย์ตุรกีที่มี ต่อศาสนาอิสลามและข้อชี้ขาดของหลักนิติธรรมอิสลาม

ในขณะที่ เซาว์ญี่ย์โอรสของสุลต่อนมุร๊อด ข่าน สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าชายเอ็นเดอร์นีกุส โอรสของจักรพรรดิจูวานีส แห่งไบแซนไทน์ บุคคลทั้ง 2 ได้นำกองทัพจากไบแซนไทน์และทหารอุษมานียะฮฺบางส่วนที่ถูกหลอกเข้าทำสงครามรบ พุ่งกับกองทัพอิสลามแห่งอุษมานียะฮฺ ผลของการรบพุ่งจบลงด้วยความปราชัยของฝ่ายที่คิดการใหญ่ เจ้าชายเซาว์ญี่ย์ ตกเป็นเชลยศึกและสุลต่อนมุร๊อด ข่าน

พระราชบิดาของพระองค์ก็ทรงยืนกรานที่จะนำเรื่องของเจ้าชายเข้าสู่การพิจารณา ตัดสินของเหล่านักปราชญ์และตุลาการแห่งนิติธรรมอิสลาม ซึ่งตัดสินให้สำเร็จโทษเจ้าชายเซาว์ญี่ย์ตามโทษานุโทษที่ก่อการขบถต่อประมุข ของรัฐอิสลาม และการเป็นพันธมิตรกับเหล่าผู้ปฏิเสธเพื่อทำสงครามกับชาวมุสลิม และในขณะที่บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ทูลขอพระกรุณาจากสุลต่อนให้ทรงพระ ราชทานอภัยโทษและเนรเทศเจ้าชายเซาว์ญี่ย์เพียงแค่นั้น ทว่าสุลต่อนมุร๊อด ข่านซึ่งทรงเป็นผู้ศรัทธาที่มีความเคร่งครัดได้ทรงยืนกรานที่จะนำข้อชี้ขาด ของหลักนิติธรรมอิสลาม มาดำเนินการกับโอรสของพระองค์ กล่าวคือ ให้สำเร็จโทษด้วยการประหารชีวิตสถานเดียว

อ.อาลี เสือสมิง

คำสั่งเสียของเหล่าสุลต่อนอุษมานียะฮฺ

บทความ - อัจฉริยภาพของเหล่าสุลต่อนแห่งมหาอาณาจักรอุษมานียะฮ

สุลต่อนอุษมาน อิบนุ อัรฏุฆฺรุ้ล ผู้สถาปนามหาอาณาจักรอุษมานียะฮฺทรงสั่งเสียอูรุคข่าน โอรสของพระองค์ตามคำบันทึกของกามิล ปาชา มหาเสนาบดีในตารีค ซิยาซีย์ เดาลัต อะลียะฮฺ อุษมานียะฮฺว่า :

โอ้ ลูกรักของข้า เจ้าจงรู้เถิดว่า การเผยแผ่ศาสนาอิสลามและการชี้นำผู้คนสู่ศาสนาอิสลาม และการปกป้องเกียรติยศและทรัพย์สินของชาวมุสลิมนั้นคือ ภารกิจที่ต้นคอของเจ้า ซึ่งพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) จะทรงสอบสวนเจ้าถึงภารกิจนั้น



กอ ดิร มิซฺร์ อุฆฺลู นักประวัติศาสตร์ชาวตุรกีร่วมสมัย ถ่ายทอดคำสั่งเสียของสุลต่อนอุษมานที่มีต่ออูรุคข่าน โอรสของพระองค์ในหนังสือ : โศกนาฏกรรมของวงศ์อุษมานว่า :

โอ้ ลูกรักของข้า ตัวพ่อนี้จักต้องกลับสู่พระผู้อภิบาลเป็นแน่แท้ และพ่อก็ภาคภูมิใจว่าเจ้าจักเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมในหมู่ประชาราษฎร์ เป็นผู้ต่อสู้ในวิถีทางแห่งเอกองค์อัลลอฮฺเพื่อที่เราจักได้เผยแผ่ศาสนาอิส ลามให้ขจรขจายออกไป

โอ้ลูกรักของข้า พ่อขอสั่งเสียให้เจ้าจงยึดมั่นในบรรดาปราชญ์แห่งประชาชาติ เจ้าจงใส่ใจต่อพวกเขาเป็นเนืองนิตย์ และจงให้เกียรติพวกเขามากมาก และเจ้าจงปรึกษาหารือกับพวกเรา เพราะพวกเขาจะไม่ใช้ให้กระทำสิ่งใดนอกจากความดี

โอ้ลูกรักของข้า เจ้าจงพึงระวังให้จงหนักในการที่เจ้าจะกระทำเรื่องใดก็ตามที่พระองค์อัล ลอฮฺ (ซ.บ.) ไม่พึงพอพระทัย เมื่อเจ้ามีเรื่องลำบากใจ เจ้าจงสอบถามบรรดาปราชญ์แห่งนิติธรรม เพราะพวกเขาจะชี้แนะเจ้าให้กระทำสิ่งดีงาม

โอ้ลูกรักของข้า เจ้าจงรู้เถิดว่าแนวทางหนึ่งเดียวของเราในโลกนี้คือแนวทางของพระองค์อัล ลอฮฺ (ซ.บ.) และเป้าหมายหนึ่งเดียวของเราก็คือการเผยแผ่ศาสนาของพระองค์ และเรามิใช่ผู้แสวงหาลาภยศสรรเสริญและโลกใบนี้



อับดุลกอดิร ซาดะฮฺ อูฆฺลู นักประวัติศาสตร์ชาวตุรกีร่วมสมัยได้ถ่ายทอดคำสั่งเสียของสุลต่อนอุษมานเอา ไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อ : “อัตตารีค อัลอุษมานีย์ อัลมุเซาวฺวัรด้วยอีกสำนวนหนึ่งว่า :

คำ สั่งเสียอันดับแรกของข้าที่มีต่อบรรดาลูกหลานของข้าและเหล่าผู้มีเกียรติ สำหรับข้าทั้งปวง คือ พวกเขาจะต้องไม่ละทิ้งการต่อสู้ (ญิฮาด) ในวิถีทางแห่งการเทิดทูนพระดำรัสของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ให้สูงเด่น และการเผยแผ่ศาสนาอิสลามอันทรงเกียรติ ตลอดจนการชูธงแห่งศาสดามุฮำหมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ให้สูงล้ำ และเวลาของพวกเจ้าทั้งหลายจงใช้ไปในการรับใช้ศาสนาอิสลาม และเผยแผ่ถ้อยคำแห่งเอกานุภาพในทิศานุทิศของโลกทั้งปวง ข้าขอกล่าวแก่พวกเจ้าว่า : ตัวข้านี้วิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ว่าขอพระองค์ทรงหักห้ามการอนุเคราะห์ของศาสดามุฮำมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ในวันปรโลก จากบุคคลทุกคนในหมู่พวกเจ้าที่ห่างเหินจากแนวทางแห่งอิสลาม อธรรมต่อผู้คนและละทิ้งการญิฮาด



คำสั่งเสียของสุลต่อนมุฮำหมัด อัลฟาติฮฺ ข่าน แก่บายะซีด โอรสของพระองค์ ตามรายงานของแหล่งอ้างอิงในภาษาตุรกี (เติร์กิชฺ) :

โอ้ ลูกรักของข้า แท้จริงการเผยแผ่ศาสนาอิสลามในโลกคือ หน้าที่ของเหล่ากษัตริย์บนหน้าโลก ดังนั้นเจ้าจงทำการเผยแผ่ศาสนาของพระองค์อัลลอฮฺ (ซ.บ.) อย่างสุดความสามารถ

โอ้ลูกรักของข้า จงทำให้ถ้อยคำของศาสนาอยู่เหนือทุกคำพูด และเจ้าจงระวังต่อ การที่เจ้าจะหลงลืมเพิกเฉยจากเรื่องหนึ่งเรื่องใดของศาสนา จงทำให้บรรดาผู้ไม่ใส่ใจต่อเรื่องราวของศาสนาห่างไกลจากตัวเจ้า และเจ้าจงพึงระวังต่อการที่เจ้าจะดำเนินเบื้องหลังบรรดาอุตริกรรมที่น่าชัง

โอ้ลูกรักของข้า จงสร้างความใกล้ชิดกับบรรดานักปราชญ์และจงเทิดทูนพวกเขาให้สูงส่ง เพราะพวกเขาคือคลังแห่งความรู้

โอ้ ลูกรักของข้า จงระวังต่อการที่ทรัพย์สินและเหล่าทหารอันมากมายทำให้เจ้าเพลิดเพลินไปกับ มัน และเจ้าจงระวังต่อการฝ่าฝืนบัญญัติของศาสนาในเรื่องใด ๆ ก็ตาม และจงมุ่งมั่นต่อศาสนา เพราะศาสนาคือความเร้นลับแห่งชัยชนะของเรา



ธรรมนูญแห่งมหาอาณาจักรอุษมานียะฮฺ ได้กำหนดภารกิจของเหล่าสุลต่อนในราชวงศ์เอาไว้ ดังนี้


1. สุลต่อนต้องอ่อนน้อมต่อหลักนิติธรรมอิสลามโดยดุษฎี
2. สุลต่อนต้องให้เกียรติและเทิดทูนต่อหลักนิติธรรมอิสลามและบรรดานักปราชญ์แห่งอิสลาม
3. สุลต่อนต้องพิทักษ์สถานที่ศักดิ์สิทธิของชาวมุสลิมและจัดระเบียบกิจการฮัจญ์ด้วยความใส่พระทัย
4. สุลต่อนต้องปกป้องดินแดนหัวเมืองของชาวมุสลิมจากการรุกรานของเหล่าอริราชศัตรู


อ.อาลี เสือสมิง